เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท กับการพัฒนาที่ยั่งยืน

3 พ.ย., 2020เครื่องพิมพ์เพื่อธุรกิจ & ใช้ในบ้าน, เครื่องพิมพ์และสแกนเนอร์

บทความโดย Keypoint Intelligence

“ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน” กลายเป็น 1 ในเป้าหมายสำคัญขององค์กรทั่วโลก หนึ่งในนั้น คือการเลือกใช้เครื่องพิพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยด้านเทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจที่มีการเดิบโตอย่างต่อเนื่อง โดย Keypoint Intelligence ได้ประเมินว่าจะมีการเติบโดขึ้นถึง 3.2% ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกภายในปี 2564 โดยมุ่งเน้นการเลือกเครื่องพิมพ์ที่ช่วยลดต้นทุนการพิมพ์ได้มากกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์

 

เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจคืออะไร?

เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ เป็นอุปกรณ์หนึ่งที่ใช้กันทั่วไปในสำนักงานหรือองค์กรธุรกิจ เพื่อพิมพ์เอกสารจากไฟล์คอมพิวเตอร์ออกมา มีจุดเด่นที่ความเร็วการพิมพ์ที่สูงกว่าเครื่องพิมพ์ที่ใช้งานทั่วไปตามบ้าน มีปริมาณหมึกพิมพ์ที่สูงกว่า รองรับการพิมพ์งานได้ต่อเนื่อง และมีต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่ประหยัดกว่า

 

การแบ่งประเภทเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทโดย Keypoint Intelligence

เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ มักจะมีคุณสมบัติที่สนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่นอุปกรณ์ป้อนเอกสารอัตโนมัติ (ADF) สำหรับทำสำเนาหรือสแกนเอกสารในปริมาณมาก รวมถึงการรองรับการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานหลายๆ คนในองค์กรพร้อมๆ กัน

ซึ่งเครื่องพิมพ์เพื่อธุรกิจเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากผู้ผลิตได้เพิ่มเติมคุณสมบัติต่างๆ ที่สนับสนุนให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น จนได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วไป

 

ผู้ใช้งาน คิดอย่างไรกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ?

จากการสำรวจโดย Key Point Intelligence พบว่า สิ่งที่ทำให้ผู้ใช้งานหันมาตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ คือคุณภาพของงานพิมพ์ รวมถึงการดูแลรักษาที่สะดวกง่ายดาย และมีต้นทุนการพิมพ์ที่ประหยัดกว่า เพราะปัจจุบัน เครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์มีต้นทุนการพิมพ์ที่สูงมาก อันเนื่องมาจากหมึกพิมพ์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์มีราคาที่สูงมาก

 

ข้อดีของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ

ผู้ใช้งานทั่วไป มักมีความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท แต่ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมีข้อดีที่มากกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ด้วยชิ้นส่วนที่น้อยชิ้นกว่าในการดูแลรักษาและเปลี่ยนเมื่อถึงอายุการใช้งาน รวมถึงต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่ประหยัดกว่า รวมไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ด้วย “ชิ้นส่วน” ที่น้อยกว่า ในเครื่องพิมพ์ที่ใช้เทคโนโลยีอิงค์เจ็ท และมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการพิมพ์ที่น้อยกว่า ทำให้มีชิ้นส่วนในการบำรุงรักษาและการบริการที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ซึ่งการบำรุงรักษาที่น้อยกว่า เป็นผลให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ได้อย่างต่อเนื่อง และประหยัดค่าบริการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่ลดลง

“ต้นทุนการพิมพ์” ของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดต้นทุนการพิมพ์ต่อหน้าได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่มีราคาใกล้เคียงกัน โดยปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มความประหยัดคือ หมึกพิมพ์ ที่มีปริมาณสูงเพื่อรองรับการพิมพ์ได้หลายพันแผ่น ช่วยให้พิมพ์งานได้ต่อเนื่องและประหยัดต้นทุนได้มากกว่า

ด้าน “ความยั่งยืน” เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุกิจใช้พลังงานน้อยกว่า รวมสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่ เพราะเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทใช้เทคโนโลยีหัวแบบไร้ความร้อน ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานและลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้งานเครื่องพิมพ์ นอกจากนี้ ยังไม่มีผงฝุ่นจากหมึกพิมพ์ที่ฟุ้งกระจายจากการพิมพ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหากสูดดมเข้าไปร่างกาย

 

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

เอปสัน คือผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ระดับโลก ที่ได้คิดค้นและพัฒนาเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจที่ช่วยลดต้นทุนการใช้งาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอเครื่องพิมพ์เพื่อธุรกิจสู่ตลาดถึง 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น WorkForce Enterprise และ WorkForce Pro

Enterprise WF-C20590 สำหรับความต้องการงานพิมพ์สี ได้รวมคุณสมบัติขั้นสูงที่เปี่ยมประสิทธิภาพเพื่อธุรกิจเข้าด้วยกัน ด้วยความเร็วในการพิมพ์สูงสุด 100 หน้าต่อนาที และอุปกรณ์เสริมที่สามารถเรียง ซ้อนและเย็บเล่มงานพิมพ์เป็นชุดๆ ได้อัตโนมัติ รองรับความจุกระดาษสูงสุด 5,350 แผ่นเพื่อการใช้งานที่ต่อเนื่อง พร้อมด้วยหน้าจอสัมผัสสีขนาด 9 นิ้ว เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน

วัสดุสิ้นเปลืองเพียงของเครื่องพิมพ์ทั้ง 2 รุ่นนี้ คือ หมึกพิมพ์และตลับซับหมึก ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ง่ายดายโดยผู้ใช้งานเอง ช่วยลดการบำรุงรักษาและเพิ่มความต่อเนื่องในการใช้งานให้เต็มประสิทธิภาพ หมึกพิมพ์ 1 ตลับ รองรับการพิมพ์งานได้ถึง 50,000 ถึง 60,000 แผ่น (ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน) และสามารถเปลี่ยนเฉพาะตลับที่หมดได้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานหมึกพิมพ์ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

เครื่องพิมพ์ WF-M20590 and WF-C20590

ด้วยการบำรุงรักษาที่น้อยกว่า ต้นทุนการพิมพ์ต่อหน้าที่ประหยัดกว่า การใช้งานพลังงานที่น้อยกว่า ช่วยให้การใช้งานเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทสามารถช่วยประหยัดต้นทุนได้มากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เครื่องพิมพ์เลเซอร์

จากการทดสอบโดย Buyers Lab (BLI) พบว่า WF-C20590 ใช้พลังงานน้อยกว่าเครื่องพิมพ์เลเซอร์ในรุ่นที่มีความเร็วการพิมพ์ใกล้เคียงกันถึง 85% นอกจากนี้ใช้ชิ้นส่วนหรืออะไหล่ทดแทนน้อยกว่าถึง 59% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์เลเซอร์

รวมถึงเครื่องพิมพ์ Epson WorkForce Pro WF-C579R และ WF-C869R ที่ตอบโจทย์ความต้องการการใช้งานเครื่องพิมพ์ร่วมกันในองค์กร ที่ช่วยลดเรื่องต้นทุนการใช้งาน รวมถึงตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในองค์กรอีกด้วย

ด้านการรองรับปริมาณงานพิมพ์ เครื่องพิมพ์รุ่น WF-C579R สามารถพิมพ์งานได้ถึง 50,000 แผ่น สำหรับงานพิมพ์ขาวดำ และ 20,000 แผ่น สำหรับงานพิมพ์สี ในขณะที่เครื่องพิมพ์รุ่น WF-C869R สามารถพิมพ์งานได้ 86,000 แผ่น สำหรับงานพิมพ์ขาวดำ และ 84,000 แผ่น สำหรับงานพิมพ์สี

 

เครื่องพิมพ์ WF-C579R and WF-C869R

เครื่องพิมพ์รุ่น WF-C579R และ WF-869R ได้รวบรวมคุณสมบัติที่หลากหลายเพื่อการใช้งานการพิมพ์เพื่อธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ถาดป้อนเอกสารอัตโนมัติ 50 หน้า ถาดบรรจุกระดาษมาตรฐาน 500 แผ่น รองรับการพิมพ์งานสูงสุดต่อเดือน 45,000 แผ่น สำหรับรุ่น WF-C579R และ 75,000 แผ่น สำหรับรุ่น WF-869R

ด้านการใช้งานเพื่อความยั่งยืน ด้วยหมึกพิมพ์แบบถุงหมึกปริมาณสูง ช่วยลดขยะที่เกิดขึ้นจากวัสดุสิ้นเปลืองได้มากกว่า เมื่อเทียบกับปริมาณตลับโทนเนอร์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ในขณะที่การทดสอบโดย BLI พบกว่า ใช้พลังงานเพียง 15.1576 กิโลวัตต์ต่อปี แต่ในขณะที่เครื่องพิมพ์เลเซอร์มีอัตราการใช้พลังงานเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 122.0298 กิโลวัตต์

Global Jaya School in Indonesia สถาบันการศึกษาที่ไม่แสวงหาผลกำไรในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน (จาก 18 สัญชาติที่แตกต่างกัน) และเจ้าหน้าที่ 150 คน เป็นหนึ่งในองค์กรที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทโดยตรง ซึ่งทางโรงเรียนได้นำเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ Epson WorkForce Pro WF-C869R มาใช้งานแทนเครื่องพิมพ์เลเซอร์ ทำให้ทางโรงเรียนสามารถลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ลงได้ ในขณะที่มีปริมาณงานพิมพ์เพิ่มมากกว่าเดิม รวมถึงไม่ได้มีการเปลี่ยนหมึกพิมพ์และอะไหล่ใดๆ แม้ใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง 1 ปี

นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดพลังงานรวมถึงให้ผลผลิตที่ดีขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการพิมพ์ที่รวดเร็ว (เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการทำให้เครื่องพิมพ์ร้อน สามารถพิมพ์งานแผ่นแรกได้ในเวลาน้อยกว่า 6 วินาที) การจัดการงานพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพและใช้งานง่าย การออกแบบรวมถึงคุณสมบัติอื่น ๆ ความสามารถในการรักษาความปลอดภัยเช่นตัวกรองที่อยู่ IP สมุดที่อยู่ LDAP การรักษาความปลอดภัย PIN และฟังก์ชันการเข้าถึงที่ จำกัด ได้ช่วยเสริมโครงสร้างพื้นฐานการพิมพ์ของโรงเรียน

 

บทสรุป

ประโยชน์ของเทคโนโลยีอิงค์เจ็ทในปัจจุบัน ได้กระตุ้นให้องค์กรต่างๆ เริ่มเห็นถึงประโยชน์ที่มากกว่าในระยะยาวของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจ เช่น Global Jaya School ที่ประเทศอินโดนีเซียเลือกที่จะเปลี่ยนเครื่องพิมพ์เลเซอร์ มาเป็นเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทเพื่อธุรกิจจากเอปสัน ที่ช่วยลดต้นทุน บำรุงรักษาง่าย ประหยัดพลังงานได้มากกว่า และสามารถช่วยให้การทำงานราบรื่นควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

 

ติดตามเรา

 

Share This