เอปสันพลิกโฉมรูปแบบการทำงานในองค์กรธุรกิจด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สถานการณ์โรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลก ได้ทำให้ผู้บริโภคมองคุณค่าขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากในอดีต ไม่เพียงแต่การเติบโต ผลกำไร วัฒนธรรมองค์กร และบรรษัทภิบาล หากแต่สิ่งที่กำหนดนิยามความสำเร็จขององค์กรธุรกิจ ยังต้องรวมถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาผลประโยชน์ของชุมชน มีการส่งเสริมการยอมรับความแตกต่างและอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และมีมุมมองต่อสิ่งแวดล้อมรวมถึงความสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมได้ในระยะยาวอีกด้วย

จากรายงานในปี 2562 ของ Global Reporting Initiative องค์กรอิสระระดับสากลที่ทำหน้าที่พัฒนากรอบรายงานเกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืน ได้ชี้ให้เห็นว่าการที่บริษัทให้ความสำคัญกับประเด็นด้านความยั่งยืนจะส่งผลต่อทัศนคติในเชิงบวกที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของ Bain & Co. บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจระดับโลก ที่ระบุว่าในปี 2562 นักลงทุนมากถึง 96% ในภูมิภาคนี้ พิจารณาถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทนั้นก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุน

สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้วยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน ต้องแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความพยายามในการสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจ หลายบริษัทจึงหันมาจริงจังกับการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดขั้นตอนการผลิต ตลอดจนระบบซัพพลายเชน และใช้กระบวนการจัดหาทรัพยากรอย่างยั่งยืน ทั้งยังเลือกใช้เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาโดยคำนึงถึงความเป็นมิตรและผลกระทบต่อธรรมชาติ สามารถใช้งานได้ยาวนาน และยังคงเพิ่มผลผลิตให้กับบริษัท

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ การลงทุนไปกับเทคโนโลยีสีเขียวหรือเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เป็นเพียงแต่การแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและนำมาซึ่งความภักดีต่อแบรนด์ รวมถึงเกิดเป็นโซลูชั่นต่างๆ ที่ช่วยทำให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น สร้างผลผลิตที่ดีขึ้นและลดต้นทุนทางธุรกิจลงได้ ซึ่งในที่สุดแล้ว จะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกิดภาวะวิกฤตต่างๆ

 

เทคโนโลยี ที่ช่วยลดปริมาณของเสียจากการใช้งาน

เอปสัน หนึ่งในผู้นำของโลกเทคโนโลยีที่มีแนวทางในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ชัดเจน โดยมุ่งเน้นที่การขจัดความยุ่งยากในการที่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนของอุปกรณ์บ่อยครั้ง การเปลี่ยนชิ้นส่วนน้อยลงทำให้ธุรกิจได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะเป็นการลดเวลาที่ต้องหยุดทำงานเพื่อการซ่อมบำรุง ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการลดปริมาณของเสียต่อสภาพแวดล้อมลงอีกด้วย บริษัทที่ใช้พรินเตอร์ โปรเจคเตอร์ หรือหุ่นยนต์แขนกลของเอปสันจะได้รับประโยชน์จากการที่ลดปริมาณการของของเสียที่เกิดขึ้น รวมถึงลดความสิ้นเปลืองต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น คุณสมบัติด้าน customization ในเครื่องพิมพ์ฉลากสีของเอปสัน ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสั่งพิมพ์งานแบบออนดีมานด์ ให้ได้จำนวนฉลากตรงตามกับจำนวนสินค้าที่เก็บไว้ หรือเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลของเอปสันที่พิมพ์ลายลงบนผืนผ้าโดยตรง ไม่ต้องใช้เพลทพิมพ์ ทำให้สามารถลดการใช้น้ำในขั้นตอนการพิมพ์ลงได้ถึง 60%

เช่นเดียวกับโปรเจคเตอร์ของเอปสัน ที่สามารถช่วยธุรกิจลดปัญหาความสิ้นเปลืองได้เป็นอย่างดี ทั้งอินเตอร์แอคทีฟโปรเจคเตอร์ที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือการประชุมระยะไกล ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทาง หรือเลเซอร์โปรเจคเตอร์ของเอปสันที่ใช้เลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง ทำให้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการซ่อมบำรุงนานถึง 20,000 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับโปรเจคเตอร์ทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนหลอดภาพบ่อยครั้งกว่า

ในโรงงานอุตสาหกรรม หุ่นยนต์แขนกล SCARA ของเอปสันที่ใช้มอเตอร์เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนจึงไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนแบตเตอรี่ ทำให้กระบวนการผลิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นต่อเนื่อง นอกจากนี้ เอปสันยังมีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า PaperLab ซึ่งเป็นเครื่องรีไซเคิลกระดาษที่ใช้แล้วให้เป็นกระดาษใหม่ โดยใช้น้ำปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตกระดาษทั่วไป ผลที่ได้คืออายุของการใช้งานกระดาษจะยาวนานยิ่งขึ้น และช่วยลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระดาษใหม่ลง

 

ใช้พลังงานน้อยลง ประหยัดมากขึ้น

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ปฏิวัติโลกของเอปสันก็คือหัวพิมพ์ PrecisionCore Heat-Free ที่ไม่ใช้ความร้อนในกระบวนการปล่อยน้ำหมึกจากหัวพิมพ์ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ที่ต้องอาศัยความร้อนในการพิมพ์ จึงกินไฟมากกว่า เทคโนโลยีนี้จึงช่วยธุรกิจประหยัดต้นทุนและค่าไฟได้มาก อีกทั้งหัวพิมพ์ PrecisionCore ยังพิมพ์งานได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่าเป็นสองเท่าของเครื่องพิมพ์ทั่วไป ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายและผลกำไรของธุรกิจโดยตรง

นอกจากนี้ เอปสันยังได้พัฒนาระบบเซ็นเซอร์ความสว่างในอินเตอร์แอคทีฟโปรเจคเตอร์รุ่น EB-1485Fi ซึ่งจะช่วยเช็คค่าความสว่างโดยรอบ ก่อนที่จะฉายภาพออกมาในระดับความสว่างที่เหมาะสม และยังลดการใช้พลังงานได้มากถึง 29% เมื่อใช้งานในโหมด ECO

นอกจากนี้ หุ่นยนต์แขนกล T3 SCARA ของเอปสันที่ได้รับการพัฒนาให้ทำงานที่ 100V เท่านั้น จึงประหยัดพลังงานได้มากกว่าเมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ทั่วไป และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานที่ที่มีข้อจำกัดในเรื่องการจ่ายกระแสไฟฟ้า

“ที่เอปสัน เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นเพื่อสิ่งแวดล้อม ให้ความประหยัด แต่ยังได้ผลผลิตและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ก้าวแรกในการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจอาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวเมื่อไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหน แต่ด้วยเทคโนโลยีและโซลูชั่นของเอปสัน เราสามารถช่วยให้ลูกค้านำธุรกิจสู่ความยั่งยืนได้มากขึ้น และเริ่มเห็นถึงผลตอบแทนระยะยาวสำหรับธุรกิจของพวกเขาได้ง่ายขึ้น” นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

 

ติดตามเรา

 

Share This