โรงงานผลิตในยุคเอไอ
โดย มร.อึ้ง หงี่ เกียง ผู้อำนวยการ ด้านอุปกรณ์ภาพและพัฒนาหุ่นยนต์ (ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เอปสัน สิงคโปร์
ในยุคของอินเตอร์เน็ตและโลกาภิวัฒน์ ผู้บริโภคต่างมองหาสินค้าที่ถูกผลิตขึ้นมาอย่างเจาะจง ตรงกับความต้องการของตนเองและมีความแตกต่างเฉพาะตัว ทำให้บริษัทผู้ผลิตต้องหันหน้าเข้าหาวิธีการผลิตใหม่ๆ ที่มีความยืดหยุ่นสูง อาทิเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่จำหน่ายแว่นตา ยังคงต้องพึ่งพาพนักงานในสายการผลิตจำนวนมาก เพื่อผลิตกรอบแว่นให้มีรูปปแบบหลากหลายและเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน โดยระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมนั้น ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะผลิตสินค้าได้ตรงกับตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทั้งในเรื่องจำนวนและความเร็ว
ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานให้ออกมาดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคทุกคน โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต จึงได้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน สำหรับงานที่คาดเดาได้ยากและจำเป็นต้องอาศัย การตัดสินใจแบบเรียลไทม์
อันที่จริงแล้ว โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต ในความหมายของอุตสาหกรรม 4.0 ควรจะสามารถนำเสนอการปรับแต่งสินค้าเพื่อ คนจำนวนมากได้ โดยไม่กระทบกระเทือนต่อความเร็วและคุณภาพในการผลิต ด้วยความก้าวหน้าของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ โรงงานอัจฉริยะที่แท้จริงจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้โดยใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้และ คิดได้เหมือนกับคน และยังสามารถทำงานร่วมกับคนได้อย่างปลอดภัย
AI จะเปลี่ยนให้โรงงานเป็นโรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคตได้อย่างไร
1. การควบคุมคุณภาพและการบำรุงรักษาแบบคาดคะเน : ผลการสำรวจเมื่อเร็วๆ นี้ ของ PWC พบว่าการใช้บิ๊กดาต้าในการวิเคราะห์และการใช้ AI ในการบำรุงรักษาแบบคาดคะเนในวงการอุตสาหกรรม จะมีปริมาณเพิ่มขึ้น ถึง 38% ภายในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งการเชื่อมต่อเทคโนโลยี เซ็นเซอร์ และหุ่นยนต์ จะช่วยทำให้องค์กรสามารถเข้าใจรูปแบบการทำงานของเครื่องจักรในไลน์การผลิตและสามารถระบุจุดที่อาจจะจำเป็นต้องซ่อมแซมในอนาคตก่อนที่จะถึงกำหนดหรือเกิดดาวน์ไทม์
ด้วยความสามารถนี้ บริษัทผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องอาศัยตารางซ่อมบำรุงอีกต่อไป การซ่อมบำรุงที่ทำก่อนเวลาจะ เป็นการสิ้นเปลืองแรงงานโดยใช่เหตุ ทั้งยังไม่สามารถวินิจฉัยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าทำล่าช้าก็ จะเสี่ยงต่อการเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในกระบวนการผลิตและทำให้เครื่องจักรเสียหายหรือมีอายุการใช้งานสั้นลง
ด้วยเหตุนี้ การซ่อมบำรุงที่มีประสิทธิภาพจะทำให้แต่ละองค์กรสามารถหลีกเลี่ยงดาวน์ไทม์ ทั้งยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่องจักร และรักษาคุณภาพด้านการผลิตเอาไว้ได้
2. หุ่นยนต์อัจฉริยะทำงานร่วมกับมนุษย์ : หุ่นยนต์อัจฉริยะที่มีความแม่นยำในการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน สามารถเข้าไปทำงานที่สำคัญ งานที่จำเจหรืองานที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาความปลอดภัยของการทำงานภายในโรงงานได้ ซึ่งบ่อยครั้งที่ความต้องการเหล่านี้ยังคงต้องการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากทั้งแรงงานมนุษย์และสภาพแวดล้อม
ระบบวิชั่น (Vision System) ของเอปสันทำให้หุ่นยนต์สามารถมองเห็นและซอฟต์แวร์อัลกอริทึมจะช่วยตรวจจับสีและรูปร่างของวัตถุได้ รวมไปถึงตำแหน่งและความโน้มเอียงของวัตถุ ผ่านกล้องที่ติดตั้งไว้ที่หุ่นยนต์ ในส่วนของไลน์การผลิตก็จะสามารถปรับได้โดยอัตโนมัติว่าจะให้หยิบอุปกรณ์จากจุดไหน หรือแม้แต่สิ่งของตกหล่นหรืออยู่ในตำแหน่งที่เปลี่ยนไปก็สามารถทำได้
เมื่อรวมเข้ากันระหว่าง Force Sensor หรือเซ็นเซอร์วัดแรงกดของเอปสัน ซึ่งใช้เทคโนโลยีวัดแรงกลที่เป็น เอกสิทธิ์ของเอปสัน จะทำให้มีความไวอย่างมากต่อแรงกดเพียงเล็กน้อย หุ่นยนต์จึงสามารถทำงานที่ซับซ้อน เช่น การประกอบชิ้นส่วนที่ยุ่งยากได้อย่างแม่นยำ
เพื่อยกระดับการทำงานของมนุษย์ โรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคตจะต้องสามารถควบคุมหุ่นยนต์ได้ผ่านทาง แว่นตาอัจฉริยะและเทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality ตัวอย่างการใช้หุ่นยนต์ร่วมกับ AR ในการช่วย เหลือด้านเทคนิคระยะไกล เช่น การใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหาทางกลไกของหุ่นยนต์ โดยวิศวกรในพื้นที่สามารถใช้แว่นตาอัจฉริยะ Moverio ของเอปสัน ฉายภาพสถานการณ์ที่กำลังมองเห็น เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและแก้ปัญหาทางกลไกของหุ่นยนต์ โดยไม่ต้องอยู่ในสถานที่จริง
3. สถานที่ทำงานที่ปลอดภัย : เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน ด้วยการเข้าไปแทนที่มนุษย์ในการทำงานด้านการผลิตที่งานนั้นอาจจะเสี่ยงถึงกับชีวิต โดยเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทวิจัย McKinsey พบว่า ความสามารถของ AI ในการช่วยการมองเห็นและตรวจสอบจะสามารถยกระดับการค้นหาได้มากถึง 90% เมื่อเทียบกับวิธีการทั่วไปที่ใช้การตรวจสอบแบบธรรมดา
ในขณะที่หุ่นยนต์สามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้ทั้งหมด เพื่อทำงานในกระบวนการด้านการผลิตที่มีความเสี่ยงสูง แต่หุ่นยนต์ก็ยังสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้หลายอย่างทั้งที่ยังคงอยู่ในการควบคุมดูแลของมนุษย์อยู่
เทคโนโลยีหุ่นยนต์ AI ในรุ่นต่อไปจะสามารถทำงานไปพร้อมกับมนุษย์ มีการบริหารมาตรฐานความปลอดภัย และสมรรถภาพในการผลิต แทนที่จะทำแต่งานแบบอัตโนมัติซ้ำๆ เท่านั้น แต่หุ่นยนต์เหล่านี้กลับสามารถโปรแกรมเพื่อระบุความเสี่ยงที่มีต่อมนุษย์ และในขณะเดียวกันก็จะมีปฏิกิริยากับคนงานโรงงานได้ด้วย โดยเซ็นเซอร์ที่ถูกฝังอยู่ภายในแขนหุ่นยนต์จะสามารถช่วยป้องกันภัยเมื่อมนุษย์กำลังเข้ามาใกล้และจะทำการหลบหลีกได้อย่างอัตโนมัติ
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ AI หมายความว่า หุ่นยนต์สามารถทำงานร่วมกันกับมนุษย์ มีสัญชาติญาณตรวจสอบได้เองเหมือนกับสิ่งที่มนุษย์ทำ และจะไม่ทำตัวเป็นระบบ “ตาบอด” ที่ทำงานตามโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ได้คำนึงถึงมนุษย์ที่เข้ามาใกล้อย่างไม่คาดคิด
หลักปรัชญานี้เป็นแนวทางเดียวกับวิสัยทัศน์ของเอปสันในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะและเซ็นเซอร์ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับโรงงานอัจฉริยะแห่งอนาคต ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้บรรลุถึงประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดผ่านการควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ
4. การไปให้ไกลกว่าห่วงโซ่อุปทาน : AI ทำให้กระบวนการผลิตและตารางการทำงานประจำสามารถปรับเปลี่ยนและถูกกำหนดได้อย่างมีกลยุทธ์ บนปัจจัยภายนอกพื้นฐานต่างๆ นอกเหนือจากหน้างานที่มีอยู่นั้น โดยผลการวิจัยของ McKinsey ระบุว่า อัลกอริทึมของแมชชีนเลิร์นนิ่งขั้นสูงสามารถช่วยลดความผิดพลาดในการคาดการณ์เรื่องสต็อกและสินค้าคงเหลือได้ถึง 50%
หุ่นยนต์สามารถโปรแกรมให้ปรับแก้ไขตารางการผลิตและการทำงาน โดยวิเคราะห์ถึงสินค้าคงคลังและข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตแบบอัตโนมัติที่ต้องการประสิทธิภาพในการทำงานสูง โดยต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือส่งผลกระทบน้อยต่อคนงานในโรงงาน
ความพัฒนาเทคโนโลยีด้านการผลิตจะทำให้องค์กรนั้นๆ สามารถก้าวเป็นผู้นำได้ในวงการอุตสาหกรรม รวมถึงความสามารถในการปรับเปลี่ยนกำลังการผลิตและเติมเต็มความต้องการของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง AI สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดและปรับการทำงานของหุ่นยนต์ เพื่อทำการตัดสินใจเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลที่ได้คือพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของตลาดได้ตลอดเวลา
AI และหุ่นยนต์ทำให้เกิดคุณค่าสำหรับวงการอุตสาหกรรมการผลิตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สำหรับองค์กรการผลิตที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะขั้นสูงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากต่อการเร่งขยายธุรกิจ ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเรื่องการใช้นวัตกรรมและการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
เอปสันมีหุ่นยนต์รุ่นกะทัดรัดที่มีความยืดหยุ่น และเมื่อรวมกับ Force Sensor และ Vision Sensor ก็จะกลายเป็นโซลูชั่นที่เหมาะสำหรับโรงงาน ซึ่งสามารถเสริมไลน์การผลิตที่มีอยู่แล้ว ไปจนถึงการเริ่มต้นติดตั้งระบบอัตโนมัติใหม่อีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ
ติดตามเรา
0 Comments